Walmart ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ทำผลงานไตรมาส 2 สุดปัง! ยอดขายพุ่งทะลุความคาดหมายของนักวิเคราะห์ ด้วยกลยุทธ์ลดราคาสินค้าเอาใจผู้บริโภคที่กำลังเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ
บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 4.5 พันล้านดอลลาร์ หรือ 56 เซนต์ต่อหุ้น ในไตรมาส 3 เดือนสิ้นสุดวันที่ 31 กรกฎาคม เพิ่มขึ้นจาก 7.9 พันล้านดอลลาร์ หรือ 97 เซนต์ต่อหุ้น ในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า กำไรต่อหุ้นที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ 67 เซนต์ ซึ่งสูงกว่าที่ Wall Street คาดการณ์ไว้ 2 เซนต์
ยอดขายเพิ่มขึ้นเกือบ 4.8% แตะ 169.33 พันล้านดอลลาร์ ก็สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้เช่นกัน
ยอดขายสาขาเดิม ซึ่งรวมถึงยอดขายออนไลน์และร้านค้าที่เปิดดำเนินการมาแล้วอย่างน้อย 12 เดือน เพิ่มขึ้น 4.2% ในสหรัฐฯ เทียบกับ 3.8% ในไตรมาสแรก และ 4% ในไตรมาสที่สี่
ยอดขายอีคอมเมิร์ซทั่วโลกเพิ่มขึ้น 21% เท่ากับอัตราการเติบโตในไตรมาสแรก
จำนวนธุรกรรมและจำนวนเงินเฉลี่ยที่ลูกค้าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมแต่ละครั้งที่ Walmart สูงกว่าช่วง 3 เดือนเดียวกันของปีที่แล้ว
และที่น่าสนใจคือ Walmart ระบุว่ายอดขายสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น เสื้อผ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี หลังจากที่ชาวอเมริกันมุ่งเน้นไปที่สินค้าจำเป็นเป็นหลักในช่วงสองปีที่ผ่านมา
Walmart ยังได้ปรับเพิ่มประมาณการผลประกอบการทั้งปี โดยคาดว่ากำไรต่อหุ้นจะอยู่ระหว่าง 2.35 ถึง 2.43 ดอลลาร์ สูงกว่าประมาณการเดิมที่ 2.23 ถึง 2.37 ดอลลาร์ต่อหุ้น และคาดว่ายอดขายประจำปีจะเพิ่มขึ้น 3.75% ถึง 4.75% จากเดิมที่คาดไว้ 3% ถึง 4%
ความสำเร็จของ Walmart ในไตรมาสนี้ สะท้อนให้เห็นถึงพลังของกลยุทธ์การลดราคาสินค้า เพื่อดึงดูดลูกค้าในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังชะลอตัว และเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า Walmart ยังคงเป็นผู้นำในตลาดค้าปลีกของสหรัฐฯ