TikTok ประกาศเมื่อวันจันทร์ว่าจะเปิดตัวอวาตาร์ AI ที่สร้างจากภาพของครีเอเตอร์และนักแสดงที่มีสิทธิ์การใช้เพื่อการพาณิชย์ สำหรับเนื้อหาที่มีแบรนด์และโฆษณาบนแพลตฟอร์ม นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเปิดตัวเครื่องมือ “AI Dubbing” สำหรับครีเอเตอร์และแบรนด์ เพื่อขยายขอบเขตการเข้าถึงของโฆษณาและเนื้อหาที่มีแบรนด์
“Custom Avatars” ใหม่ถูกออกแบบมาเพื่อแสดงถึงตัวแทนครีเอเตอร์หรือโฆษกของแบรนด์ ครีเอเตอร์สามารถเลือกที่จะสร้างอวาตาร์หลายภาษาเพื่อขยายการเข้าถึงทั่วโลกและความร่วมมือกับแบรนด์ ส่วนแบรนด์สามารถสร้างอวาตาร์ที่ใช้โฆษกของตนหรือครีเอเตอร์ที่ได้ร่วมมือด้วย เพื่อปรับแคมเปญให้เข้ากับท้องถิ่นทั่วโลก
นอกจากนี้ยังมี “Stock Avatars” ซึ่งเป็นอวาตาร์ที่สร้างขึ้นโดยใช้นักแสดงที่ได้รับค่าตอบแทนและมีสิทธิ์การใช้เพื่อการพาณิชย์ อวาตาร์เหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ธุรกิจสามารถเพิ่มความเป็นมนุษย์ให้กับเนื้อหาของตนได้ TikTok ระบุว่าอวาตาร์เหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยนักแสดงจากภูมิหลัง เชื้อชาติ และภาษาที่หลากหลาย
การเปิดตัวเครื่องมือใหม่นี้อาจทำให้บางคนกังวลได้ นักแสดงฮอลลีวูดเคยประท้วงเมื่อปีที่แล้วเกี่ยวกับความกังวลต่างๆ ที่เกี่ยวกับ AI รวมถึงความกลัวว่าภาพลักษณ์ของตนจะถูกนำไปใช้สร้าง AI replicas ด้วยอวาตาร์ AI ใหม่นี้ ครีเอเตอร์สามารถควบคุมได้ว่าต้องการให้ใช้ภาพลักษณ์ของตนหรือไม่ รวมถึงสามารถกำหนดอัตราค่าจ้าง สิทธิการใช้งาน และผู้ที่สามารถใช้อวาตาร์ของตนได้
สำหรับเครื่องมือ AI Dubbing ใหม่ จะช่วยให้ครีเอเตอร์และแบรนด์สามารถแปลเนื้อหาของตนเป็น 10 ภาษา รวมถึงภาษาอังกฤษ ญี่ปุ่น เกาหลี และสเปน โดยระบบจะตรวจจับภาษาในวิดีโอโดยอัตโนมัติ จากนั้นจะถอดเสียงและแปลเนื้อหาเพื่อผลิตวิดีโอที่มีเสียงพากย์ในภาษาที่ต้องการ TikTok กล่าวว่าฟีเจอร์ใหม่นี้จะช่วยให้ครีเอเตอร์และแบรนด์สามารถสื่อสารกับผู้ชมทั่วโลกได้
การเปิดตัวนี้เกิดขึ้นในขณะที่ TikTok เปิดเผยเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า 61% ของผู้ใช้ได้ทำการซื้อสินค้าหรือบริการไม่ว่าจะโดยตรงบน TikTok หรือหลังจากเห็นโฆษณา
ฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้จะมีให้ใช้งานเป็นส่วนหนึ่งของ “TikTok Symphony” ซึ่งเป็นชุดโซลูชันโฆษณาที่ขับเคลื่อนด้วย Generative AI ซึ่งเปิดตัวในเดือนพฤษภาคม ชุดนี้รวมถึงเครื่องมือช่วยนักการตลาดเขียนสคริปต์ ผลิตวิดีโอ และเพิ่มประสิทธิภาพของสินทรัพย์ที่มีอยู่
แม้ว่า TikTok จะขยายธุรกิจโฆษณาออกไป แต่ก็ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่จะถูกแบนในสหรัฐฯ หากบริษัทแม่ ByteDance ไม่สามารถขายแอปได้ภายในปีนี้
